รายละเอียดข่าวสารที่คุณเปิดอ่าน...


หัวข้อข่าวสาร ที่ คุณกำลังเปิดอ่านอยู่ขณะนี้
 
   ::หมู...กับประวัติอันยาวนาน::
รายละเอียด:-
 
หมูเป็นสัตว์เลี้ยงที่รู้จักดันดี มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สุกร การเลี้ยงหมูมีมาเป็นเวลานานหลายพันปี ประเทศจีนเป็นชาติแรกที่เริ่มเลี้ยงหมู ต่อมาได้แก่ ประเทศอังกฤษ ในปัจจุบันการเลี้ยงหมูมีแพร่หลายทั่วโลก
หลายประเทศในแถบเอเซีย ยุโรป และอเมริกา ได้ปรับปรุงการเลี้ยงหมู จนได้ผลดี สามารถนำผลิตผลจากหมูมาเป็นสินค้าส่งออก
ไส้กรอก แฮม เบคอน และอาหารกระป๋องอื่นๆ ที่ทำจากเนื้อหมู เป็นที่นิยมรับประทานกันทั่วไป เนื้อหมูอุดมด้วยโปรตีน และไขมัน มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก ใช้ประกอบอาหารได้หลายชนิด เราควรทำให้สุกด้วยการลวก ต้ม หรือทอดก็ได้ เพื่อป้องกันพยาธิที่อาจมีอยู่ในเนื้อหมูดิบ
หมูเป็นสัตว์สี่เท้าที่นิยมเลี้ยงกันมาก เพราะเลี้ยงง่าย โตเร็ว และให้ลูกเร็ว หมูมีสีขน และรูปร่างลักษณะที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของพันธุ์ หมูที่นิยมเลี้ยงแต่ดั้งเดิมเป็นหมูพันธุ์พื้นเมือง ส่วนใหญ่มีรูปร่างอ้วน เตี้ย สะโพกเล็ก หลังแอ่น และท้องยานลากดิน ลำตัวมีสีขาว และสีดำปนกัน หมูพันธุ์พื้นเมืองบางชนิดมีหนังหยาบและย่น เมื่อโตเต็มที่ ชาวบ้านทั่วไปนิยมเลี้ยงหมูไว้ใต้ถุนบ้าน หรือในบริเวณใกล้เคียง ปล่อยให้หมูอยู่บนลานดิน หรือลานซีเมนต์ มีบางบ้านเท่านั้นที่สร้างคอกให้หมูอยู่ การเลี้ยงเป็นแบบง่ายๆ โดยเอาเศษอาหารต่างๆ ที่เหลือจากคน มารวมผสมให้หมูกิน หมูกินจุ และกินอาหารไม่เลือกชนิด นอกจากนั้นผู้เลี้ยงยังใช้ผักที่หาได้ทั่วไป เช่น ผัก บุ้ง ผักตบชวา จอก แหน หรือหยวกกล้วยสับละเอียด ผสมกับรำข้าว และน้ำ เป็นอาหารให้หมูกิน เมื่อหมูโตจะนำไปขาย ฆ่าเพื่อเอาเนื้อเป็นอาหาร หรือนำหมูตัวผู้ และหมูตัวเมียมาผสมพันธุ์ เพื่อให้มีลูกหมูมาเลี้ยงต่อไป
ในปัจจุบัน การเลี้ยงหมูก้าวหน้าไปจากเดิมมาก มีการสั่งซื้อพันธุ์ต่างประเทศเข้ามาหลายพันธุ์ เช่น หมูพันธุ์แลนด์เรซ ที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศเดนมาร์ก และหมูพันธุ์ลาร์จไวต์ ที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศอังกฤษ เป็นต้น หมูพันธุ์ที่สั่งเข้ามาจากต่างประเทศ ได้รับความนิยมมากกว่าหมูพันธุ์พื้นเมือง เพราะมีรูปร่างลักษณะดี สามารถเพิ่มน้ำหนักได้เร็วกว่าหมูพันธุ์พื้นเมือง เนื้อมีไขมันน้อย ขายได้ราคาดี วิธีการเลี้ยง และการผสมพันธุ์ ได้รับการปรับปรุงขึ้นมาก มีการสร้างคอกและโรงเรือนให้หมูอยู่ โรงเรือนบางแห่งสร้างอยู่บนดิน เทพื้น ด้วยซีเมนต์ โดยเทให้ลาดต่ำออกไปทางด้านหลัง เพื่อสะดวกในการทำความสะอาด กวาดเก็บขี้หมู บางแห่งยกพื้นสูง ช่วยให้อากาศถ่ายเทได้ดี เพื่อให้หมูสมบูรณ์แข็งแรง ผู้เลี้ยงให้อาหารผสมที่มีคุณค่า และจัดให้หมูได้ฉีดวัคซีนตามกำหนด การคัดเลือกพันธุ์หมูที่ดีมาผสม ทำให้ลูกหมูมีโอกาสรอดตายสูง การเลี้ยงหมูทุกวันนี้จึงเปลี่ยนจากการเลี้ยงแบบหลังบ้าน บ้านละ ๒-๓ ตัว มาเป็นการเลี้ยงหมูจำนวนมาก เพื่อการค้า 
หมูมีกำเนิดเดิมมาจากหมูป่าในแถบยุโรป อเมริกา แอฟริกา และเอเชีย ชาวจีน และชาวไทยนิยมเลี้ยงหมูกันมาก ผู้เลี้ยงหมูในสมัยก่อนมีวิธีเลี้ยงแบบง่ายๆ นอกจากเศษอาหารในครัวเรือน รำข้าว และหยวกกล้วยสับละเอียด ยังนำเอาผักหญ้าต่างๆ ที่หาได้ในท้องถิ่น มาสับให้ละเอียด ผสมกับรำข้าว กากถั่วเหลือง หรือกากถั่วลิสงและน้ำ ให้หมูกิน หมูที่ชาวบ้านเลี้ยงในสมัยดั้งเดิม เป็นหมูพันธุ์พื้นเมือง ตัวเล็ก เติบโตช้า ใช้เวลานานในการขุนให้อ้วน ให้ซากที่มีเนื้อน้อย มันมาก หมูพันธุ์พื้นเมืองที่เลี้ยงกันทั่วไป ได้แก่ หมูพันธุ์ควาย หมูพันธุ์ราด หมูพันธุ์พวง และหมูพันธุ์ไหหลำ ที่มีถิ่นเดิมมาจากประเทศจีน
การเลี้ยงหมูแบบดั้งเดิม :๑. ใช้รำข้าว
การเลี้ยงหมูแบบดั้งเดิม :๑. ใช้รำข้าว  
ในปัจจุบัน การเลี้ยงหมูได้พัฒนาขึ้นมาก ทั้งการเลี้ยงดู การให้อาหาร และการปรับปรุงพันธุ์ มีการสร้างโรงเรือนเลี้ยงหมู บ้านเมืองเรามีอากาศร้อน โรงเรือนสำหรับหมูควรโปร่ง มีหลังคาสูง เพื่อให้อากาศระบายได้ดีตลอดเวลา ภายในโรงเรือนอาจแบ่งเป็นคอก มีห้องเก็บอาหาร และเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ อาหารสำหรับหมูได้รับการปรับปรุงให้มีคุณภาพสูง เป็นอาหารผสมที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบ ๕ หมู่ ได้แก่ น้ำ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามิน และแร่ธาตุ พันธุ์ของหมูเปลี่ยนไปตามความต้องการของผู้เลี้ยง และผู้บริโภค ลักษณะของอาหารที่หมูกิน และตามความประสงค์ของผู้ผสมพันธุ์ การนำหมูพันธุ์ดีหลายพันธุ์จากต่างประเทศมาผสมพันธุ์ ทำให้เกิดหมูพันธุ์ใหม่ๆ ขึ้น หมูพันธุ์ต่างประเทศที่นิยมเลี้ยงกันมาก และได้ผลดีมีหลายพันธุ์ เช่น พันธุ์แลนด์เรซ พันธุ์ลาร์จไวต์ พันธุ์ดูร็อก และพันธุ์ลูกผสมต่างๆ หมูพันธุ์ต่างประเทศได้รับความนิยมมากกว่าหมูพันธุ์พื้นเมือง เพราะเติบโตเร็ว มีคุณภาพของซากดี (คุณภาพของซากที่ดีคือ ต้องมีเนื้อแดงมาก มันน้อย ทำให้ขายได้ราคาสูง) สามารถเปลี่ยนอาหารที่กินเข้าไปให้เป็นเนื้อได้มาก จึงขุนให้อ้วนได้ง่าย หมูอายุ ๕-๖ เดือน เมื่อได้อาหารเต็มที่ จะมีน้ำหนักราว ๙๐-๑๐๐ กิโลกรัม ก็ขายส่งตลาดได้ คุณภาพซากมีเนื้อแดงมาก ไขมันบาง หมูหนุ่มหมูสาวที่สมบูรณ์ก็อาจคัดไว้สำหรับผสมพันธุ์ เพื่อเอาลูกเลี้ยงต่อไป
การเลี้ยงหมูแบบดั้งเดิม :๒. ใช้ผักตบชวา
การเลี้ยงหมูแบบดั้งเดิม :๒. ใช้ผักตบชวา 
พ่อหมู และแม่หมู ที่นำมาใช้ทำพันธุ์ ควรมีลักษณะดี ไม่เคยเป็นโรคติดต่อร้ายแรงมาก่อน ห้ามนำหมูป่วย หรือหมูที่เพิ่งได้รับการฉีดวัคซีนมาผสมพันธุ์ โดยปกติพ่อหมูที่ใช้ผสมพันธุ์ควรมีอายุประมาณ ๘ เดือน หนักประมาณ ๘๐-๙๐ กิโลกรัม สำหรับพ่อหมูพันธุ์ต่างประเทศ ควรหนักประมาณ ๑๑๕ กิโลกรัม แม่หมูอายุประมาณ ๗-๘ เดือน ต้องมีโครงสร้างร่างกายแข็งแรง มีเต้านมที่สมบูรณ์อย่างน้อย ๑๒ เต้า แม่หมูอาจให้ลูกได้ถึง ๕ ครอก ในระยะเวลา ๒ ปี และแต่ละครอกประมาณ ๘-๑๒ ตัว ในชีวิตของแม่หมูตัวหนึ่งสามารถ มีลูกได้ ๘-๑๐ ครอก และให้ลูกได้ถึง ๗๐-๘๐ ตัว ลูกหมูจะอยู่ในท้องแม่ประมาณ ๑๑๔ วัน (๓ เดือน ๓ สัปดาห์ ๓ วัน) จะเร็วหรือช้ากว่านี้ประมาณไม่เกิน ๓ วัน ลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่สมบูรณ์ จะมีโอกาสรอดชีวิตได้มาก การผสมพันธุ์ควรทำในตอนเช้าหรือเย็น ขณะที่ อากาศไม่ร้อนอบอ้าว แม่หมูในระหว่างผสมพันธุ์ อุ้มท้อง และคลอดลูก ต้องได้รับการดูแลอย่างถูกวิธีได้อาหารอย่างเพียงพอ ควรแยกคอกให้อยู่ คอกที่จะออกลูกต้องสะอาด อาจปูด้วยฟางข้าวหรือหญ้า เพื่อพื้นคอก จะได้ไม่แข็งกระด้าง ทั้งยังช่วยให้ความอบอุ่นแก่ลูกหมู ที่เกิดใหม่ด้วย
การเลี้ยงหมูแบบดั้งเดิม :๓. ผสมอาหารให้หมูกิน
การเลี้ยงหมูแบบดั้งเดิม :๓. ผสมอาหารให้หมูกิน
ลูกหมูหลังคลอดควรได้กินนมแม่ ระยะเวลาที่สมควรหย่านม คือ เมื่อลูกหมูมี อายุราว ๔ สัปดาห์ หรือเมื่อมีน้ำหนักมากกว่า ๕ กิโลกรัมขึ้นไป การให้ลูกหมูหย่านม เมื่อถึงเวลาสมควร เป็นการช่วยไม่ให้แม่หมูมีร่างกายทรุดโทรมมาก สามารถผสมพันธุ์ใหม่ได้ เมื่อลูกหมูโตควรได้รับการฉีดวัคซีนตามกำหนดเป็นระยะไป เพื่อป้องกันโรคต่างๆ ที่เกิดกับหมูดังนี้

๖-๗ สัปดาห์ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคอหิวาต์หมู
๘-๙ สัปดาห์ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อย
การเลี้ยงหมูแบบดั้งเดิม :๔. ผู้เลี้ยงให้อาหาร
การเลี้ยงหมูแบบดั้งเดิม :๔. ผู้เลี้ยงให้อาหาร
สำหรับหมูที่ใช้เป็นพ่อและแม่พันธุ์ ซึ่งเป็นหมูที่มีชีวิตอยู่หลายปี จะฉีดวัคซีน ป้องกันโรคอหิวาต์หมูปีละครั้ง และฉีดวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อยปีละ ๒ ครั้ง (๖ เดือนฉีด ๑ ครั้ง)
การเลี้ยงหมูแบบดั้งเดิม :๕. หมูกินอาหาร
การเลี้ยงหมูแบบดั้งเดิม :๕. หมูกินอาหาร
ผู้ทำฟาร์มเลี้ยงหมู เมื่อมีลูกหมูจำนวนมาก สามารถคัดหมูตัวผู้ และตัวเมีย ที่มีรูปร่าง และคุณลักษณะดีไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อนำมาเป็นพ่อพันธุ์ และแม่พันธุ์ต่อไป ส่วนที่เหลืออาจจะแบ่งขาย เมื่อลูกหมูหย่านม หรือจะขุนไว้ขายเองก็ได้

ในประเทศไทยมีการเลี้ยงหมูอยู่ทั่วทุกภาค มีฟาร์มเลี้ยงหมูขนาดใหญ่ในจังหวัดนครปฐม ราชบุรี และชลบุรี เป็นต้น 
หมูเป็นสัตว์เลี้ยงที่ให้เนื้อสำหรับมนุษย์ใช้บริโภคที่สำคัญมากประเภทหนึ่ง และมีการเลี้ยงกันอยู่ทั่วไป ทั้งนี้เพราะหมูเป็นสัตว์ที่เลี้ยงดูง่าย เนื่องจากกินอาหารได้สารพัดอย่าง ขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว และที่สำคัญคือ เนื้อหมูมีรสดี อ่อนนุ่ม น่ารับประทาน มีหลายประเทศทางแถบยุโรป และอเมริกา ที่เลี้ยงหมูมาก จนเป็นอุตสาหกรรม สามารถส่งเนื้อหมูเป็นสินค้าออกจำหน่ายต่างประเทศ ทำรายได้ให้ประเทศเหล่านั้นเป็นจำนวนมาก เนื้อหมูที่ส่งออกจำหน่ายมีทั้งที่เป็นเนื้อสด โดยแช่ไว้ในห้องแช่แข็ง และเนื้อที่แปรรูปแล้ว เช่น เนื้อกระป๋อง แฮม เบคอน และไส้กรอก เป็นต้น สำหรับประเทศไทย เนื้อหมูนับว่า เป็นอาหาร ประเภทเนื้อสัตว์ที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะประชาชนส่วนใหญ่นิยมบริโภคเนื้อหมูมากกว่าเนื้อสัตว์อื่นๆ อาหารแทบทุกมื้อ มักจะมีเนื้อหมูเป็นส่วนประกอบอยู่เสมอ

ประวัติและวิวัฒนาการของหมู

หมูเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีความสัมพันธ์กับมนุษย์มาเป็นเวลาช้านาน มนุษย์ได้นำมาเลี้ยงตั้งแต่เมื่อใดไม่มีใครทราบ เพียงแต่ทราบว่า ได้นำมาเลี้ยงหลายพันปีมาแล้ว จีนเป็นประเทศแรกที่นำหมูมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง ต่อมาก็คือ ประเทศอังกฤษ เชื่อกันว่า หมูพันธุ์ต่างๆ ที่เลี้ยงกันอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งหมูพันธุ์พื้นเมืองของบ้านเรา มีบรรพบุรุษมาจากหมูป่า ๒ พวก คือ หมูป่าทางแถบยุโรปพวกหนึ่ง และอีกพวกหนึ่งเป็นหมูป่าแถบเอเชียตะวันออก และตะวันออกเฉียงใต้ วิวัฒนาการของหมู ได้เจริญรอยตามความเจริญของมนุษย์มาเป็นเวลาช้านาน ดังนั้นลักษณะพันธุ์ของหมู จึงมักเปลี่ยนไปตามความต้องการของมนุษย์ ลักษณะของอาหารที่ใช้เลี้ยง ต่อมาได้เป็นไปตามความประสงค์ หรือความคิดของนักผสมพันธุ์

แหล่งผลิตหมูในโลก

หมูเป็นสัตว์ที่กินอาหารทุกชนิด เราสามารถใช้ผลพลอยได้ของผลิตผลจากโรงงาน และบ้านเรือน มาเลี้ยงหมูได้ เช่น กากถั่วเหลือง กากถั่วลิสง และเศษผัก เป็นต้น ดังนั้นในท้องที่ใดก็ตาม ซึ่งมีอาหารของมนุษย์เหลืออยู่เป็นจำนวนมาก และมีราคาถูก หรือที่ที่มีผลพลอยได้ที่หาได้ง่าย และมีปริมาณค่อนข้างมาก ท้องที่นั้นก็จะมีการเลี้ยงหมูกันเป็นจำนวนมาก จำนวนหมูในท้องที่ใดท้องที่หนึ่ง ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ภูมิอากาศในเขตพื้นที่แห้งแล้งของโลก จะมีหมูเป็นจำนวนน้อย ความเชื่อของสังคม และศาสนา ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ในประเทศที่มีพลเมืองนับถือศาสนาอิสลามเป็นส่วนใหญ่ จะมีหมูเป็นจำนวนน้อย เพราะศาสนาอิสลามถือว่า หมูเป็นสัตว์ที่สกปรก จึงมีข้อบัญญัติห้ามเลี้ยง ห้ามแตะต้อง และห้ามรับประทานเนื้อหมู ชาวมุสลิมจึงไม่เลี้ยงหมู 

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม


ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
การเลี้ยงหมูในประเทศไทย

การเลี้ยงหมูของเกษตรกรไทย แต่เดิมเป็นการเลี้ยงแบบหลังบ้านเป็นส่วนใหญ่ คือ ผู้เลี้ยงหมูประเภทนี้เลี้ยงไว้โดยให้กินเศษอาหารที่มีอยู่ หรือที่เก็บรวบรวมได้ตามบ้าน ดังนั้น ผู้เลี้ยงประเภทนี้จึงเลี้ยงหมูเป็นจำนวนมากไม่ได้ จะเลี้ยงไว้เพียงบ้านละ ๒-๓ ตัวเท่านั้น ผู้เลี้ยงเป็นอาชีพจริงๆ มีน้อยมาก หรือแทบจะไม่มีเลย ผู้เลี้ยงไว้เป็นจำนวนมากๆ ได้ มักทำอาชีพอื่นๆ อยู่ด้วย เช่น เป็นเจ้าของโรงสีเป็นต้น ผู้เลี้ยงหมูแต่ก่อนมักเป็นชาวจีน รองลงมาก็เป็นผู้เลี้ยงชาวไทยเชื้อสายจีน

วิธีการเลี้ยงหมูแต่เดิมมายังล้าสมัยอยู่มาก จะเห็นได้ว่า ผู้เลี้ยงบางคนยังไม่มีคอกเลี้ยงหมูเลย หมูจึงถูกปล่อยให้กินอยู่ตามลานบ้าน ใต้ถุนเรือน หรือตามทุ่ง หรือผูกติดไว้กับโคนเสาใต้ถุนบ้าน เป็นต้น ส่วนที่ดีขึ้นมาหน่อยก็มีคอกเลี้ยง แต่พื้นคอกก็ยังเป็นพื้นดินอยู่นั่นเอง พื้นคอกที่ทำด้วยไม้และคอนกรีตมีน้อยมาก อาหารที่ใช้เลี้ยงหมูแต่เดิม นอกจากเศษอาหารตามบ้านแล้ว อาหารหลักที่ใช้ก็คือ รำข้าว และหยวกกล้วย นำมาหั่นเป็นชิ้นบางๆ แล้วตำให้ละเอียดอีกทีหนึ่ง นอกจากนี้อาจมีผักหญ้าที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ เช่น จอก ผักตบชวา ผักบุ้ง สาหร่าย และผักขม เป็นต้น นำมาสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ผสมกับรำข้าว และปลายข้าวที่ต้มสุกแล้ว เติมน้ำลงในอาหารที่ผสมแล้วนี้ ในปริมาณที่พอเหมาะ แล้วจึงให้หมูกิน หมูที่เลี้ยงในสมัยก่อนเป็นหมูพันธุ์พื้นเมือง หมูเหล่านี้มีขนาดตัวเล็ก และเจริญเติบโตช้า เนื่องจากไม่มีใครสนใจปรับปรุงพันธุ์ให้ดีขึ้น หมูพันธุ์พื้นเมืองจึงถูกปล่อยให้ผสมพันธุ์กันเอง โดยไม่มีการคัดเลือก นอกจากนี้ ผู้เลี้ยงมักจะคัดหมูตัวที่โตเร็วออกขายเอาเงินไว้ก่อน จึงเหลือแต่หมูที่ลักษณะไม่ดีนำมาใช้ทำพันธุ์ต่อไป

ปัจจุบันการเลี้ยงหมูนับว่า ก้าวหน้ากว่าแต่ก่อนมาก การเลี้ยงดู ตลอดจนการปรับปรุงพันธุ์ มีการศึกษา และพัฒนาอยู่ตลอดเวลา แต่เดิมหมูให้ลูกได้ปีละหนึ่งครั้ง ลูกที่ให้แต่ละครั้งก็ไม่แน่นอน บางครั้งก็น้อย บางครั้งก็มาก ครั้งใดที่ให้ลูกมาก อัตราการตายของลูกก็จะสูง ลูกที่คลอดออกมาแล้ว ต้องใช้เวลาเลี้ยงนานนับปี จึงส่งขายได้ ส่วนปัจจุบัน หมูสามารถให้ลูกได้ถึง ๕ ครอกใน ระยะเวลา ๒ ปี แต่ละครอกมีลูกหมูหลายตัว อัตราการเลี้ยงให้อยู่รอดก็สูง ลูกหมูหลังคลอดใช้ระยะเวลาเลี้ยงไป จนถึงน้ำหนักส่งตลาดเพียง ๕ เดือนกว่าเท่านั้น นอกจากนี้ ประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสารอาหารของร่างกายหมูในปัจจุบัน สูงกว่าแต่ก่อนมาก โดยสามารถเปลี่ยนอาหารที่กิน เข้าไปประมาณ ๒.๕ - ๓ กิโลกรัม เป็นเนื้อได้ ๑ กิโลกรัม ซึ่งแต่เดิมต้องใช้อาหาร ๕-๖ กิโลกรัม จึงจะได้เนื้อ ๑ กิโลกรัม

แหล่งที่มีการเลี้ยงหมูกันมากในประเทศไทย ได้แก่ แถบบริเวณภาคกลางของประเทศ โดยเฉพาะที่จังหวัดนครปฐม ราชบุรี ชลบุรี สุพรรณบุรี และฉะเชิงเทรา เป็นต้น หมูที่เลี้ยงทางแถบภาคกลางนี้ จะไม่มีพันธุ์พื้นเมืองเลย เป็นหมูพันธุ์ต่างประเทศทั้งหมด หมูพันธุ์ต่างประเทศที่นิยมเลี้ยงกัน ได้แก่ พันธุ์แลนด์เรซ พันธุ์ลาร์จไวต์ พันธุ์ดูร็อก และหมูพันธุ์ลูกผสมต่างๆ เป็นต้น 

หมูพันธุ์พื้นเมือง
หมูพันธุ์พื้นเมือง
ประเภทและพันธุ์หมู

หมูที่เลี้ยงในปัจจุบันมีอยู่หลายพันธุ์ รูปร่างลักษณะของหมูเกิดจากการผสมพันธุ์ และการคัดเลือกพันธุ์ตามความต้องการของนักผสมพันธุ์ และผู้บริโภค ตลอดจนอาหารที่ใช้เลี้ยงดู ถ้าจัดแบ่งหมูตามรูปร่างลักษณะ และคุณภาพของเนื้อแล้ว จะแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท คือ

๑. ประเภทมัน
๒. ประเภทเนื้อ
๓. ประเภทเบคอน

๑. หมูประเภทมัน

มูประเภทนี้มีลักษณะอ้วนเตี้ย ลำตัวหนาแต่สั้น สะโพกเล็ก มีมันมาก มีเนื้อแดงน้อย หมูประเภทมันมีขนาดเล็ก เจริญเติบโตช้า และกินอาหารเปลือง สมัยก่อนคนนิยมเลี้ยงหมูประเภทนี้กันมาก เพราะต้องใช้มันหมูในการประกอบอาหาร ปัจจุบันเรานิยมบริโภคน้ำมันพืชแทน ความนิยมในการใช้น้ำมันหมูจึงลดลงอย่างมาก ตัวอย่างพันธุ์หมูที่จัดไว้ในหมูประเภทมัน ได้แก่ หมูพันธุ์พื้นเมือง ทั้งที่เป็นพันธุ์ดั้งเดิมของไทย เช่น พันธุ์ราด พันธุ์พวง ฯลฯ และที่มีถิ่นดั้งเดิมจากประเทศจีน คือ พันธุ์ไหหลำ

๒. หมูประเภทเนื้อ

หมูประเภทนี้มีคุณสมบัติอยู่กึ่งกลางระหว่างหมูประเภทมัน และเบคอน ดังนั้น หมูประเภทเนื้อลำตัวจึงยาวกว่าประเภทมัน แต่ไม่ยาวมากนัก มีส่วนไหล่ และสะโพกใหญ่อวบ ลำตัวหนาและลึก หลังโค้งพองาม หมูประเภทนี้มีขึ้นโดยวิธีการผสมพันธุ์ และคัดเลือกพันธุ์ให้มีเนื้อแดงมากขึ้นแต่มันลดลง เจริญเติบโตเร็วและมีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อก็ดีขึ้น ตัวอย่างหมูประเภทนี้คือ หมูพันธุ์ดูร็อก พันธุ์แฮมเชียร์ เป็นต้น

๓. หมูประเภทเบคอน

หมูประเภทนี้มีขนาดใหญ่ ผอม ลำตัวยาวกว่าประเภทอื่นๆ แต่ค่อนข้างบาง กระดูกใหญ่ ขายาว สะโพกเล็ก เป็นหมูที่เป็นหนุ่มเป็นสาวช้า หมูประเภทเบคอนมีเนื้อสามชั้น เหมาะสำหรับทำหมูเค็ม ตามกรรมวิธีของชาวต่างประเทศ เรียกว่า เบคอน ได้แก่ หมูพันธุ์แลนด์เรซ และพันธุ์ลาร์จไวต์ เป็นต้น 
หมูพันธุ์พวง
หมูพันธุ์พวง
พันธุ์หมูในประเทศไทย

๑. หมูพันธุ์พื้นเมือง

หมูพันธุ์พื้นเมืองปัจจุบันมีจำนวนค่อนข้างน้อยมาก จะพบในบางท้องถิ่นเท่านั้น ส่วนใหญ่มักจะได้รับการผสมพันธุ์จากหมูพันธุ์ต่างประเทศ

เนื่องจากไม่ได้รับการปรับปรุง หรือคัดเลือกให้เป็นหมูพันธุ์ที่ดี หมูพันธุ์พื้นเมืองจึงมีลักษณะ และคุณสมบัติโดยทั่วไปเลวลง คือ มีขนาดเล็ก เติบโตช้า สามารถเปลี่ยนอาหารไป เป็นเนื้อได้น้อย คุณภาพค่อนข้างต่ำ คือ มีเนื้อแดงน้อย มันมาก ลำตัวสั้น หนังแอ่น สะโพกและไหล่เล็ก หมูพันธุ์พื้นเมืองแบ่งออกเป็นพันธุ์ต่างๆ ได้ดังนี้

๑.๑ หมูพันธุ์ไหหลำ หมูพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดทางตอนใต้ของประเทศจีน พบในภาคกลาง และภาคใต้ของประเทศไทย ลำตัวมีสีขาวกับดำปนกัน สีดำมากในตอนหัว ไหล่ หลัง และบั้นท้าย ส่วนตอนล่างของลำตัวมีสีขาว

หมูพันธุ์ไหหลำมีหัวได้รูปงาม จมูกยาวและแอ่นเล็กน้อย คางย้อย และไหล่ใหญ่ ลำตัวยาวปานกลาง หลังแอ่น สะโพกเล็ก ขาและข้อเหนือกีบเท้าอ่อน หมูไหหลำเติบโต และสืบพันธุ์ ดีกว่าหมูพันธุ์พื้นเมืองอื่นๆ

๑.๒ หมูพันธุ์ควาย พบเลี้ยงในภาคเหนือของประเทศไทย สีของหมูพันธุ์นี้คล้ายสีของหมูพันธุ์ไหหลำ แต่ลำตัวมีสีดำเป็นส่วนใหญ่ จมูกของหมูพันธุ์ควายตรงกว่า และสั้นกว่า และมีรอยย่นมากกว่า ลำตัวเล็กกว่าหมูพันธุ์ไหหลำ ไหล่และสะโพกเล็ก ขาและข้อเหนือกีบเท้าอ่อน

พ่อหมูพันธุ์ควาย โตเต็มที่หนัก ๑๒๕-๑๕๐ กิโลกรัม แม่หมูหนัก ๑๐๐-๑๒๕ กิโลกรัม น้ำหนักที่เหมาะสำหรับส่งตลาด ประมาณ ๘๐ กิโลกรัม

๑.๓ หมูพันธุ์ราด พบเลี้ยงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย หัวของหมูพันธุ์ราดมีรูปงามยาวและตรง ลำตัวสั้นและแน่น กระดูกแข็งแรง แต่เจริญเติบโตช้า

๑.๔ หมูพันธุ์พวง เลี้ยงกันมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย มีสีดำ หมูพันธุ์พวงเป็นหมูที่มีผิวหนังหยาบมากที่สุด ดังนั้น จึงขายได้ในราคาต่ำกว่าหมูพันธุ์อื่น หมูพันธุ์พวง ส่วนมากใช้ผสมกับหมูพันธุ์ราด เพื่อให้ได้รูปขนาด และการเจริญเติบโตดีขึ้น อย่างไรก็ตามการนำหมูพันธุ์ต่างประเทศมาผสม เพื่อปรับปรุงพันธุ์จะได้ผลดีกว่า
หมูพันธุ์ดูร็อก
หมูพันธุ์ดูร็อก

หมูพันธุ์ลาร์จไวด์
หมูพันธุ์ลาร์จไวด์
๒. หมูพันธุ์ต่างประเทศ

๒.๑ หมูพันธุ์แลนด์เรซ
หมูพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดจากประเทศเดนมาร์ก เป็นหมูประเภทเบคอนที่ดีที่สุด เจริญเติบโต และเนื้อมีคุณภาพดี มีสีขาวตลอดลำตัว แต่อาจมีจุดดำบนผิวหนังได้บ้าง ลำตัวและหลังค่อนข้างตรง ใบหูใหญ่และปรก จมูกตรง คางเรียบ ให้ลูกดก และเลี้ยงลูกเก่ง ในประเทศไทยมีเลี้ยงกันอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะภาคกลางของประเทศมีเลี้ยงกันมาก

๒. ๒ หมูพันธุ์ลาร์จไวต์ หมูพันธุ์นี้ในสหรัฐอเมริกาเรียกพันธุ์ยอร์กเชอร์ (Yorkshire) ถิ่นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษ เป็นหมูประเภทเบคอนที่ให้เนื้อมาก เติบโตเร็ว มีสีขาวตลอดลำตัว หัวโตปานกลาง หูตั้ง ตัวเมียให้ลูกดก และเลี้ยงลูกเก่ง

๒.๓ หมูพันธุ์ดูร็อก หมูพันธุ์ดูร็อกมีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นหมูประเภทเนื้อขนาดใหญ่ รูปร่างหนาลึก ความยาวของลำตัวสั้นกว่าหมูพันธุ์แลนด์เรซ และพันธุ์ลาร์จไวต์ สะโพกใหญ่เด่นชัด มีสีตั้งแต่แดงเข้มไปจนอ่อน หัวมีขนาดปานกลาง หูย้อยไปข้างหน้า

๒.๔ หมูพันธุ์ลูกผสม เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างพันธุ์ต่างประเทศด้วยกัน ส่วนใหญ่เจริญเติบโตเร็ว เป็นที่นิยมกันมากในการเลี้ยงเป็นหมูขุน

การเลี้ยงและการดูแลหมูในระยะต่างๆ

การเลี้ยงหมูจะประสบความสำเร็จ ถ้าเอาใจใส่เรื่องการเลี้ยง และการดูแลหมูอย่างถูกต้อง แม้ผู้เลี้ยงจะมีหมูพันธุ์ดีก็ตาม แต่ถ้าละเลยในสิ่งเหล่านี้แล้ว ปัญหาต่างๆ ก็จะเกิดขึ้นได้ เช่น พ่อหมูผสมไม่เก่ง ผสมติดน้อย แม่หมูคลอดลูกยาก ลูกหมูป่วยเป็นโรคท้องเสีย และมีอัตราการตายสูง เป็นต้น
การผสมพันธุ์ของแม่หมู
การผสมพันธุ์ของหมู
การเลี้ยงและการดูแลหมูพ่อพันธุ์

หมูตัวผู้ที่จะนำมาใช้ผสมพันธุ์ได้ดี ควรมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ มีขนาดและอายุที่พอเหมาะ เพื่อให้สามารถผลิตน้ำเชื้อที่มีคุณภาพดีพอเพียง มีผลทำให้การผสมติดสูง และได้จำนวนลูกมากเป็นปกติ แม้ว่าหมูตัวผู้สามารถผลิตอสุจิได้บ้างแล้ว เมื่อมีอายุย่างเข้า ๔ เดือนก็ตาม แต่จำนวนน้ำเชื้อ และอสุจิที่ผลิตได้ จะเพิ่มมากขึ้น เมื่อหมูมีอายุมากขึ้น ดังนั้น หมูตัวผู้ที่จะนำมาใช้ผสมพันธุ์ ควรมีขนาดใหญ่พอเหมาะที่จะผสมกับแม่หมูที่มีขนาดปกติได้ โดยปกติมักใช้ผสมพันธุ์ ได้เมื่อมีอายุราว ๘ เดือน และมีน้ำหนักประมาณ ๘๐-๙๐ กิโลกรัม สำหรับหมูพ่อพันธุ์ต่างประเทศ ควรมีน้ำหนักราว ๑๑๕ กิโลกรัม

การเลี้ยงหมูพ่อพันธุ์ ปกติให้อาหารวันละมื้อ พ่อพันธุ์ที่มีน้ำหนักมากเกินไปหรืออ้วน ควรให้ออกกำลังบ้าง หรือลดอาหาร และให้อาหารหยาบมากขึ้น

หมูพ่อพันธุ์ถ้าได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากผู้เลี้ยง จะสามารถใช้งานได้หลายปี โดยไม่มีข้อบกพร่อง แม้จะใช้ผสมพันธุ์วันละสองครั้งก็ตาม แต่ก็ไม่ควรใช้งานมากเกินไป เพราะการผสมบ่อยๆ หรือติดๆ กัน จะทำให้จำนวนอสุจิลดน้อยลง และอาจมีอสุจิตัวอ่อนที่ไม่มีคุณภาพเพียงพอ ดังนั้นหลังจากฤดูผสมพันธุ์ ควรจะให้ตัวผู้ได้พักผ่อน และออกกำลังกาย โดยปล่อยในทุ่งหญ้า

การเลี้ยงและการดูแลหมูแม่พันธุ์

หมูสาวเจริญเติบโตในลักษณะเช่นเดียวกันกับหมูหนุ่ม เมื่อมีอายุมากขึ้น ปริมาณของไข่ที่ตกจากรังไข่จะเพิ่มขึ้น ทำให้ปริมาณลูกที่คลอดมีจำนวนมาก จนกระทั่งแม่หมูมีอายุประมาณ ๑๕ เดือน ปริมาณไข่ที่ตกก็จะคงที่ โดยปกติจะผสมพันธุ์หมูสาว เมื่อมีอายุได้ราว ๗-๘ เดือน หรือน้ำหนักราว ๑๑๐-๑๑๕ กิโลกรัม (สำหรับหมูพันธุ์พื้นเมืองประมาณ ๘๐-๙๐ กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับชนิดของหมูพันธุ์พื้นเมืองด้วย) การผสมพันธุ์แม่หมูที่มีขนาดเล็ก หรือมีอายุน้อยอยู่ จะทำให้อายุการใช้งานของแม่หมูตัวนั้นสั้นลง และจำนวนลูกที่ได้ก็น้อยด้วย ทั้งนี้ เนื่องจากการตกไข่จากรังไข่มีน้อย

การผสมพันธุ์แม่หมู ควรกะเวลาให้พอดี กับระยะการตกไข่ เพราะจะทำให้ได้ผลดีกว่าการผสมในเวลาอื่น แม่หมูส่วนใหญ่จะกลับเป็นสัด อีกภายใน ๓-๗ วัน หลังการหย่านม แม่หมู แสดงการเป็นสัดนานประมาณ ๔๘-๗๒ ชั่วโมง (หมูสาวนานประมาณ ๓๖-๖๐ ชั่วโมง) การตกไข่เกิดขึ้นประมาณช่วงกลางๆ ของการเป็นสัด แต่ไข่จะไม่ตกพร้อมกันทีเดียวทั้งหมด การผสมหมูสาว หรือแม่หม ูควรผสมซ้ำ หรือผสมครั้งที่สอง โดยทิ้งระยะให้ห่างจากครั้งที่หนึ่งประมาณ ๑๒ ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย ปกติการผสมพันธุ์หมูมักทำในตอนเช้าและเย็น เพราะอากาศไม่ร้อน ไม่ควรผสมพันธุ์หมูขณะที่ป่วย หรือหลังการฉีดวัคซีนใหม่ๆ วิธีดังกล่าวนี้จะช่วยให้การผสมพันธุ์ได้ผลดีขึ้น และเพิ่มลูกต่อครอกให้มากขึ้น

ข้อแนะนำระหว่างการผสมพันธุ์หมูคือ ควรให้อาหารแม่หมู และหมูสาวให้มากขึ้น เนื่องด้วยเหตุผลสองประการคือ

ประการแรก


เนื่องจากแม่หมูผสมพันธุ์ครั้งใหม่หลังการหย่านมในช่วงเวลาสั้น หมูยังอยู่ในสภาพที่ไม่แข็งแรงเพียงพอ

ประการที่สอง


เนื่องจากระหว่างการให้นม แม่หมูส่วนใหญ่สูญเสียน้ำหนักไปมาก การให้อาหารเพิ่มขึ้น จะช่วยให้แม่หมูอยู่ในสภาพที่เหมาะสำหรับการให้นมครั้งต่อไป
ระยะแม่หมูอุ้มท้องควรแยกเลี้ยงในคอกขังเดี่ยว
ระยะแม่หมูอุ้มท้องควรแยกเลี้ยงในคอกขังเดี่ยว

เครื่องตรวจการตั้งท้องของหมู
เครื่องตรวจการตั้งท้องของหมู
การเลี้ยงและการดูแลแม่หมูระหว่างการอุ้มท้อง

หมูตัวเมียที่ไม่ได้รับการผสมพันธุ์ หรือผสมไม่ได้ผล จะกลับเป็นสัดอีกระหว่างทุกๆ ๑๘-๒๔ วัน หรือโดยเฉลี่ยประมาณ ๒๑ วัน แต่ถ้าผสมได้ผล ก็จะไม่กลับเป็นสัดอีกเลย ตลอดการอุ้มท้อง เมื่อหมูตัวเมียได้รับการผสมแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องให้อาหารเพิ่มมากขึ้นอีก การเลี้ยงดูในช่วงนี้ควรปฏิบัติดังนี้

๑. การจัดคอกสำหรับแม่หมู


ระยะที่แม่หมูอุ้มท้องควรแยกมาเลี้ยงในคอกขังเดี่ยว เพราะนอกจากจะควบคุมการให้อาหารได้แล้ว ยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการทะเลาะวิวาทกับหมูตัวอื่น ซึ่งอาจทำให้แม่หมูแท้งลูกได้

๒. การให้อาหาร


๒.๑ ช่วงอุ้มท้องระยะต้น
ตั้งแต่เริ่มผสมพันธุ์จนถึงอุ้มท้องได้ ๘๔ วัน ในช่วงนี้ไม่จำเป็นต้องให้อาหารมากนัก เพราะลูกในท้องเติบโตช้ามาก ควรให้กินประมาณตัวละ ๑.๕-๑.๘ กิโลกรัมต่อวัน ก็พอเพียงแล้ว สำหรับหมูพันธุ์พื้นเมือง ก็ต้องลดลงตามส่วน

๒.๒ ช่วงอุ้มท้องระยะหลัง
(อุ้มท้อง ๘๔-๑๐๔ วัน) ในช่วงนี้ลูกหมูในท้อง มีอัตราการเจริญเติบโตสูงมาก ต้องการอาหารมาก จำเป็นต้องเพิ่มอาหารให้แก่แม่หมู เป็นวันละ ๒.๕-๓ กิโลกรัมต่อวัน (ประมาณร้อยละ ๒.๕ ของ น้ำหนักตัว)

๓. ตรวจการตั้งท้อง

หลังจากวันผสมพันธุ์ประมาณ ๒๑ วัน และ ๔๒ วัน ควรตรวจดูการเป็นสัดของหมูตัวเมีย หากหมูไม่แสดงอาการเป็นสัด ก็อาจกล่าวได้ว่า หมูผสมติดและตั้งท้อง แต่ถ้าหมูแสดงอาการเป็นสัดอีก ก็ให้ผสมพันธุ์หมูตัวนั้นใหม่ หมูตัวใดผสมแล้ว ยังไม่ตั้งท้องติดต่อกัน ๓ ครั้ง ให้คัดหมูตัวนั้นออกจากฝูง เพื่อจำหน่ายต่อไป

๔. อุณหภูมิ

ภายในโรงเรือนควรรักษาอุณหภูมิให้ต่ำมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากประเทศเราเป็นประเทศเมืองร้อน และจากผลการวิจัยปรากฏว่า หากให้หมูอยู่ในที่ร้อนอบอ้าวติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้หมูให้ลูกน้อยตัว นอกจากนี้ความต้องการผสมพันธุ์ และจำนวนเชื้ออสุจิของพ่อหมู ก็ลดลงไปด้วย อุณหภูมิที่เหมาะสำหรับหมูในช่วงนี้คือ ระหว่าง ๑๖-๑๙ องศาเซลเซียส
การพ่นยาฆ่าเชื้อบริเวณคอกคลอด
การพ่นยาฆ่าเชื้อบริเวณคอกคลอด

วัสดุและอุปกรณ์เพื่อใช้คลอดของแม่หมู๑. อุปกรณ์ทำคลอด
วัสดุและอุปกรณ์เพื่อใช้คลอดของแม่หมู
๑. อุปกรณ์ทำคลอด

วัสดุและอุปกรณ์เพื่อใช้คลอดของแม่หมู๒. ฟางข้าวให้ความอบอุ่น
วัสดุและอุปกรณ์เพื่อใช้คลอดของแม่หมู
๒. ฟางข้าวให้ความอบอุ่น
การเลี้ยงดูแม่หมูก่อนคลอด ระหว่างคลอด และระหว่างการให้นม

ช่วงระยะก่อนคลอด ระหว่างคลอด และ ระยะ ๒-๓ วัน ของการให้นม เป็นช่วงที่มีความสำคัญมากช่วงหนึ่งของการเลี้ยงดูหมู ถ้าการเลี้ยงดูในระหว่างช่วงนี้ไม่ดีพอ ก็จะสูญเสียลูกหมูไป โดยไม่จำเป็น

การเลี้ยงดูแม่หมูก่อนคลอด

ควรปฏิบัติ ดังนี้

๑. การทำความสะอาดคอกคลอด ควรทำความสะอาดไว้ล่วงหน้าให้เรียบร้อย ก่อนที่จะนำแม่หมูเข้าคอกคลอด ประมาณหนึ่งสัปดาห์ หรือนานกว่านี้ก็ได้ เพื่อลดโอกาสที่โรคและพยาธิจะ เกิดขึ้นให้มีได้น้อยที่สุด ซึ่งโรคและพยาธินี้จะ ติดต่อถึงลูกได้มาก เนื่องจากลูกหมูพยายามหา ทางไปกินนมจากแม่ภายหลังที่คลอดได้ไม่กี่นาที ลูกหมูจึงอาจติดโรคและพยาธิเหล่านี้ได้จากคอก ที่สกปรก การทำความสะอาดคอกคลอด จะใช้ผงซักฟอก หรือโซดาไฟล้างก็ได้ แล้วใช้น้ำสะอาดล้างให้ทั่วอีกครั้ง เมื่อคอกแห้งแล้ว จึงใช้ยาฆ่าเชื้อโรคชนิดใดชนิดหนึ่งผสมน้ำ เจือจางตามคำแนะนำ แล้วพ่นให้ทั่วบริเวณคอก

๒. การถ่ายพยาธิแม่หมู ก่อนถึงกำหนดคลอด ๗-๑๔ วัน ควรถ่ายพยาธิแม่หมู โดยเฉพาะหมูที่เลี้ยงแบบปล่อยลงแปลง หรือเลี้ยงในคอกที่มีพื้นเป็นดิน วิธีการใช้ยาถ่ายพยาธิให้ดูจากฉลากที่ติดมากับยาชนิดนั้นๆ

๓. การทำความสะอาดแม่หมู ปกติทั้งแม่หมู และหมูสาว จะอุ้มท้องนานประมาณ ๑๑๔ วัน เมื่ออุ้มท้องได้ ๑๐๙ วัน ควรย้ายหมูเหล่านั้นไป ยังคอกคลอด อาบน้ำด้วยสบู่ ใช้แปรงที่มีขนแข็ง ถูให้ทั่วบริเวณร่างกาย โดยเฉพาะตามพื้นท้อง ลำตัว และบริเวณเต้านม วิธีนี้จะกำจัดไข่พยาธิ และสิ่งสกปรกที่ติดมากับตัวหมูออกไป

๔. การให้อาหารและน้ำแม่หมู อาหารที่ให้แม่หมูในช่วงก่อนคลอดนี้ ควรจะเป็นอาหาร ช่วยระบายอย่างอ่อนๆ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดอาการท้องผูกของแม่หมู ช่วงนี้ผู้เลี้ยงอาจเพิ่มอาหารที่มีเยื่อใยสูงลงในอาหารแม่หมูได้ รำข้าว หรือจะให้หญ้าสด เช่น หญ้าขน ก็ได้

การดูแลแม่หมูระหว่างคลอด

ควรปฏิบัติดังนี้

๑. การจัดเตรียมวัดสุรองพื้นสำหรับลูกหมู ควรจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ก่อนแม่หมูจะคลอดหนึ่งวัน หรือสองวัน วัดสุที่รองพื้นที่ควรจัดเตรียมไว้ ได้แก่ ฟางข้าว หญ้าแห้ง หรือกระสอบที่สะอาดและแห้ง วัสดุรองพื้นช่วยป้องกันขาและเต้านมของลูกหมู ที่เพิ่งคลอด ไม่ให้ได้รับอันตรายจากพื้นคอกที่หยาบ แข็ง และยังช่วยให้ความอบอุ่นแก่ลูกหมูอีกด้วย

๒. การจัดเตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ในการปฐมพยาบาลลูกหมูที่คลอดออกมา เครื่องมือเครื่องใช้ที่ต้องเตรียมไว้ระหว่างหมูกำลังคลอด มีดังนี้

๒.๑ ผ้าแห้งที่สะอาด ๒-๓ ผืน สำหรับเช็ดตัวลูกหมูที่คลอดออกมาใหม่ๆ
๒.๒ คีม สำหรับตัดเขี้ยวและหางลูกหมู
๒.๓ ด้ายผูกสายสะดือ

๓. การให้อาหารแม่หมู ถ้าเป็นไปได้ช่วงก่อนคลอด ๑๒ ชั่วโมง และหลังคลอดอีก ๑๒ ชั่วโมง ไม่ต้องให้อาหารเลย นอกจากน้ำสะอาดอย่างเดียว

๔. การช่วยเหลือลูกหมู เมื่อคลอด ลูกหมูเมื่อคลอดออกมาใหม่ๆ ควรจะช่วยทำความสะอาด เช็ดร่างกายลูกหมูให้แห้ง ด้วยผ้าแห้งที่สะอาด เอาเยื่อบางๆ ที่ห่อหุ้มตัวลูกหมูออก โดยเฉพาะเยื่อที่หุ้มส่วนจมูกและปาก ควรเช็ด และล้วงเสมหะออกจากปากเสียก่อนโดยเร็ว หลังคลอดไม่ควรขังลูกหมูไว้ ควรปล่อยให้กินนมได้เลย น้ำนมแม่เมื่อแรกคลอด (colostrum) นี้ มีประโยชน์ต่อลูกหมูมาก และจะมีอยู่เพียง ๒-๓ วันหลังคลอดเท่านั้น

การเลี้ยงดูแม่หมูระหว่างการให้นม

ควร ปฏิบัติดังนี้

๑. ควรให้อาหารเดิมแก่แม่หมู (อาหารที่ให้แม่หมูตอนใกล้คลอด) ภายหลังคลอดต่อไปอีก ประมาณ ๓ - ๕ วัน จึงค่อยเปลี่ยนเป็นอาหารสูตรใหม่

๒. อาหารสูตรใหม่ที่ให้แก่แม่หมูระหว่างการให้น้ำนม ควรมีโปรตีน และพลังงาน ไม่น้อยกว่าในอาหารสำหรับแม่หมูระหว่างการอุ้มท้อง ทั้งนี้เพื่อช่วยในการผลิตน้ำนม

๓. การให้อาหารควรเริ่มให้แต่น้อย วันถัดไปค่อยเพิ่มจำนวนอาหารที่ให้กินมากขึ้นไปเรื่อยๆ เท่าที่แม่หมูจะสามารถกินได้ เช่น แม่หมูมีลูก ๑๐ ตัว อาหารที่ให้แม่หมูกินเต็มที่ประมาณ ๕ กิโลกรัม

๔. การเพิ่มอาหารให้แม่หมูกินเร็วเกินไป อาจทำให้ลูกหมูเกิดขี้ขาวได้ ถ้าเกิดกรณีเช่นนี้ผู้เลี้ยงควรลดจำนวนอาหารที่ให้หมูลง
การใช้หลอดไฟในการให้ความอบอุ่นแก่ลูกหมูเกิดใหม่
การใช้หลอดไฟในการให้ความอบอุ่นแก่ลูกหมูเกิดใหม่

ใช้ยาฆ่าเชื้อเช็ดสายสะดือที่ตัดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ใช้ยาฆ่าเชื้อเช็ดสายสะดือที่ตัดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

การตัดหางลูกหมูแรกคลอดเพื่อป้องกันการกัดกัน
การตัดหางลูกหมูแรกคลอดเพื่อป้องกันการกัดกัน

การฉีดธาตุเหล็กให้ลูกหมูเพื่อป้องกันโรคโลหิตจาง
การฉีดธาตุเหล็กให้ลูกหมูเพื่อป้องกันโรคโลหิตจาง     
การเลี้ยงและการดูแลลูกหมูหลังคลอดไปจนถึงหย่านม

การเลี้ยง และการดูแลลูกหมู ตั้งแต่หลังคลอด ไปจนถึงหย่านม นับได้ว่า เป็นช่วงที่มีความยุ่งยากมากกว่าช่วงอื่นๆ เป็นช่วงที่มีการสูญเสียลูกหมูมากที่สุด โดยเฉลี่ยประมาณ ๒ ตัวต่อครอก ซึ่งอาจเกิดเนื่องจากถูกแม่ทับตาย ท้องร่วงอย่างแรง อดอาหาร โลหิตจาง และเสียเลือดมากทางสายสะดือเมื่อคลอด อย่างไรก็ตามการสูญเสียลูกหมูในช่วงนี้ ส่วนใหญ่เนื่องมาจากการดูแลไม่ดี มากกว่าสาเหตุอื่นๆ ดังนั้น เพื่อลดการสูญเสีย ลูกหมูในช่วงนี้ ผู้เลี้ยงควรเตรียมการดูแลลูกหมู ดังนี้

๑. การให้ความอบอุ่น

หมูที่มีอายุต่ำกว่า ๓ วัน กลไกที่ควบคุมอุณหภูมิภายในร่างกายยังไม่ทำงาน จึงไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความผันแปรของอุณหภูมิภายนอกได้ ลูกหมูแรกเกิดที่ถูกความหนาวเย็นมากๆ หรือเป็นเวลานานๆ อุณหภูมิของร่างกายจะลดลง จะเป็นผลให้ลูกหมูตัวนั้นตายได้

๒. การป้องกันลมโกรก

ไม่ควรปล่อยให้ลูกหมูถูกลมโกรก เช่น ให้ลูกหมูอยู่ในคอกที่โปร่งมาก หรือมีพื้นเป็นไม้ระแนง เพราะจะทำให้ลูกหมูเจ็บป่วยได้ง่าย บริเวณสำหรับลูกหมูแรกคลอดหลับนอน ควรมีที่กำบังลมไว้ประมาณ ๓-๔ วัน จะช่วยให้ลูกหมูไม่ถูกลมโกรกมากนัก อย่างไรก็ตาม คอกลูกหมูก็ไม่ควรปิดทึบ เพราะจะทำให้อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เวลาคอกเปียกชื้น จะแห้งยาก ทำให้เกิดเชื้อโรค ลูกหมูจะเจ็บป่วยได้ง่ายเช่นกัน

๓. การรักษาความสะอาดคอก

คอกที่ ใช้เลี้ยงลูกหมูควรทำความสะอาดอยู่เป็นประจำ พื้นคอกตลอดจนบริเวณที่ลูกหมูนอน ควรจะแห้งและสะอาดอยู่เสมอ ถ้าจำเป็นที่จะต้องล้างทำความสะอาด เนื่องจากคอกสกปรก ควรขังลูกหมูเอาไว้ก่อน อย่าปล่อยออกมาให้ตัวเปียกน้ำ ลูกหมูอาจจะหนาวสั่น และเจ็บป่วยได้ เมื่อเห็นว่า คอกแห้งพอสมควรดีแล้ว จึงปล่อยลูกหมูตามเดิม

๔. การตัดสายสะดือ


ก่อนอื่นควรมัดสายสะดือ เพื่อป้องกันเลือดออกหลังตัด ควรตัดให้เหลือสายสะดือยาวประมาณ ๓-๔ เซนติเมตร เมื่อลูกหมูยืนขึ้นสายสะดือจะได้ไม่ติดพื้นคอก จากนั้นเช็ดแผลที่ตัดแล้วด้วยทิงเจอร์ไอโอดีน สายสะดือเป็นส่วนสำคัญ ที่เชื้อโรคจะเข้าสู่ตัวลูกหมูได้ การเจ็บป่วย เช่น ลูกหมูขาเจ็บหรือตาย อาจจะมาจากการละเลยการปฏิบัติดังกล่าว

๕. การตัดฟันและการตัดหาง


ควรตัดภายหลังที่ลูกหมูคลอดได้ไม่เกิน ๒๔ ชั่วโมง การตัดฟันและหางนี้ ควรทำพร้อมกัน ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการจับต้องลูกหมูหลายๆ ครั้ง
  • การตัดฟัน ลูกหมูแรกคลอดมีฟันที่แหลมคมอยู่ ๔ คู่ ๒ คู่อยู่ที่ขากรรไกรบน อีก ๒ คู่อยู่ที่ขากรรไกรล่าง ฟัน ๔ คู่นี้ไม่มีประโยชนต่อลูกหมู แต่จะทำให้ระคายเคืองต่อเต้านมแม่ ขณะที่ลูกหมูดูดนม จึงควรตัดให้เรียบสั้นหลังคลอด การตัดต้องระมัดระวังอย่าให้ฐานของฟันเสีย หรือเหลือรอยขรุขระแหลมคมไว้ หรือเป็นสาเหตุที่เป็นอันตรายต่อเหงือก (การตัดฟันลูกหมู โดยไม่ระมัดระวัง ก็จะทำให้เหงือกได้รับอันตราย จากเครื่องมือที่ใช้ได้ เช่น ไปตัดโดนเหงือก เครื่องมือที่ใช้ตัดฟัน ถ้าไม่คมก็จะตัดฟันได้ไม่เรียบ ฐานฟันอาจเสีย และทำให้เหงือกได้รับอันตราย บางครั้งก็เหลือรอยขรุขระแหลมคมไว้เหมือนขวดแก้วแตก ฟันเช่นนี้ เมื่อไปกัดหัวนมแม่ จะคมยิ่งกว่าฟันธรรมดาที่ไม่ได้ถูกตัด)
  • การตัดหาง ปัญหาเรื่องลูกหมูกัดหางกัน มักจะเนื่องมาจากการเลี้ยงหมูแบบขังคอก และเลี้ยงไว้คอกละจำนวนมาก ผู้เลี้ยงอาจจะตัดหางลูกหมูทิ้งเสียตั้งแต่ยังเล็กก็ได้ ควรตัดให้เหลือ เพียง ๑/๔ นิ้ว ไม่ควรทำกับหมูที่โตแล้ว ในกรณีที่เกิดปัญหาการกัดหางกัน ก็สามารถแก้ไขได้โดยการผูกโซ่หรือยาง ห้อยไว้ในคอก เพื่อให้หมูได้กัดเล่น 
๖. การป้องกันโรคโลหิตจาง

โรคโลหิตจางในลูกหมูมักเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก ทั้งนี้ เพราะลูกหมูมีความต้องการธาตุเหล็กมากเกินกว่าที่ได้รับจากน้ำนมแม่ เนื่องจากลูกหมูมีการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว และธาตุเหล็กที่เก็บสำรองในตัวลูกหมูที่เกิดใหม่ มีอยู่จำนวนน้อย เพื่อป้องกันโรคนี้ ผู้เลี้ยงควรฉีดธาตุเหล็กให้ลูกหมูประมาณ ๒ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อลูกหมูอายุได้ ๓ วัน ครั้งถัดไปเมื่อลูกหมูมีอายุได้ ๒-๓ สัปดาห์

๗. การตอนลูกหมูตัวผู้


ลูกหมูตัวผู้ที่ไม่เก็บไว้ทำพันธุ์จะตอนเมื่ออายุเท่าใดก็ได้ แต่ที่เหมาะคือ เมื่ออายุได้ ๒ หรือ ๓ สัปดาห์ ในช่วงนี้อันตรายจากการตอนมีน้อยกว่าช่วงที่ลูกหมูโตแล้ว เพราะจับลูกหมูได้ง่ายกว่า และแผลก็จะหายเร็วกว่าด้วย

๘. การหัดให้กินอาหารแห้ง

ก่อนลูกหมูหย่านมอย่างสมบูรณ์ เมื่อลูกหมูมีอายุได้ ๑ หรือ ๒ สัปดาห์ ควรหัดให้กินอาหารบ้าง ลูกหมูที่เคยหัดให้กินอาหารตั้งแต่เล็ก โดยทั่วไปเมื่อหย่านม จะเรียนรู้การกินอาหารได้เร็วกว่าพวกที่ไม่เคยหัดเลย
วัคซีนป้องกันโรคอหิวาต์หมู
วัคซีนป้องกันโรคอหิวาต์หมู
การเลี้ยงดูลูกหมูหลังหย่านม

การหย่านมลูกหมูจะเร็วหรือช้านั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของลูกหมูแล้ว ยังขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้เลี้ยง และคุณภาพของอาหารที่ใช้เลี้ยงลูกหมูด้วย ผู้เลี้ยงหมูในบ้านเรานิยมหย่านมลูกหมูที่มีอายุระหว่าง ๓-๖ สัปดาห์ ลูกหมูที่หย่านมเมื่ออายุยังน้อย หรือน้ำหนักตัวน้อย มักจะอ่อนแอ และถ้าการเลี้ยงดูไม่ดีพอ อาจทำให้ลูกหมูแคระแกร็น หรืออาจถึงตายได้ การเลี้ยงดูลูกหมูในระยะนี้จึงควรปฏิบัติดังนี้

๑. การหย่านมลูกหมู

ให้ถือน้ำหนักเป็นเกณฑ์ ลูกหมูควรมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า ๕ กิโลกรัม เมื่อหย่านม และไม่ควรขังลูกหมูที่มีขนาดและน้ำหนักไล่เลี่ยกันเกินกว่า ๒๐ ตัวไว้ในคอกเดียวกัน (ขึ้นอยู่กับขนาดของคอกด้วย) เนื่องจากคอกจะสกปรกมาก และบางตัวก็กินอาหารไม่ทันตัวอื่นๆ

๒. การรักษาความสะอาด


เนื่องจากลูกหมูในช่วงนี้เป็นโรคได้ง่าย ความสะอาดจึงเป็น สิ่งสำคัญที่ควรระวังให้มาก รางอาหาร รางน้ำ ตลอดจนคอกหมูต้องสะอาดอยู่เสมอ พื้นคอกไม่ควรปล่อยให้เปียกแฉะ ดังนั้น คอกต้องมีการถ่ายเทอากาศได้ดี แต่ต้องไม่โกรกตัวลูกหมูมากนัก

๓. การให้อาหารและน้ำ

ควรให้อาหาร ลูกหมูบ่อยๆ ครั้งละน้อยๆ จะช่วยให้ลูกหมูกินอาหารได้มากขึ้น อาหารที่เปียก เหม็นอับ ควรทิ้งไป น้ำสะอาดต้องมีให้ลูกหมูได้กินตลอดเวลา การขาดน้ำ จะทำให้ลูกหมูกินอาหารน้อยลง หรือไม่กินอาหารเลย

๔. การถ่ายพยาธิ


หลังจากลูกหมูหย่านมได้ราว ๒-๓ สัปดาห์ ควรให้ลูกหมูกินยาถ่ายพยาธิ ลูกหมูที่พบว่า มีพยาธิควรถ่ายซ้ำอีกครั้ง

๕. การฉีดวัคซีน

หลังจากที่ลูกหมูหย่านมแล้ว ราว ๓-๔ สัปดาห์ขึ้นไป ผู้เลี้ยงสามารถฉีดวัคซีนให้กับลูกหมูได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของลูกหมู และควรฉีดวัคซีนกับลูกหมูที่สมบูรณ์เท่านั้น ลูกหมูหลังฉีดวัคซีนแล้ว อาจมีอาการไข้ได้ จึงไม่ควรเอาน้ำรดตัวลูกหมู

การตอนไม่ควรทำในช่วงเดียวกับการฉีดวัคซีน ควรตอนก่อนการฉีดวัคซีนอย่างน้อย ไม่ต่ำกว่า ๑๐ วัน หรือหลังการฉีดวัคซีนประมาณสัก ๑ เดือน
การเลี้ยงหมูขุนบนคอกคอนกรีต
การเลี้ยงหมูขุนบนคอกคอนกรีต
การเลี้ยงและการดูแลหมูรุ่นและขุนส่งตลาด

การเลี้ยงดูหมูระยะนี้ มีความยุ่งยากน้อยกว่า การเลี้ยงดูหมูระยะที่ยังไม่หย่านม หลังจากหย่านมใหม่ๆ หมูในช่วงนี้จะเจริญเติบโตดี ทั้งหมูที่เลี้ยงอยู่ในทุ่ง และบนคอกคอนกรีตที่มีการสุขาภิบาล การควบคุมโรคและพยาธิ ตลอดจนการให้อาหารที่ถูกต้อง การเลี้ยง และการจัดการดูแลหมูระยะนี้ ควรปฏิบัติดังนี้

๑. การจัดคอกเลี้ยง

๑.๑ การจัดคอกสำหรับหมูขุนขาย
ควรจัดเอาหมูที่มีขนาดและเพศเดียวกัน ขังเลี้ยงไว้ในคอกเดียวกัน เพื่อช่วยให้หมูเติบโตมีขนาดไล่เลี่ยกัน และไม่เกิดปัญหาแย่งอาการกันกินขึ้นในภายหลัง เนื่องจากการเจริญเติบโตไม่เท่ากันของหมูเพศผู้ และเพศเมีย หมูเพศผู้ที่ตอน มักเจริญเติบโตเร็วกว่าหมูเพศเมีย แต่หมูเพศเมียมีแนวโน้มการใช้อาหาร ที่มีโปรตีนสูงได้ดีกว่า และยังให้เนื้อแดง และมีลำตัวยาวกว่าหมูเพศผู้ที่ตอนด้วย

๑.๒ การจัดคอกสำหรับหมูพันธุ์
หมูที่จะ เลี้ยงไว้เป็นพ่อพันธุ์ และแม่พันธุ์ ในช่วงแรก ไม่ควรเลี้ยงแยกเพศกันอย่างเด็ดขาด กล่าวกันว่า การเป็นหนุ่มเป็นสาวช้า การไม่แสดงการเป็นสัดของหมูตัวเมีย และการไม่ยอมผสมพันธุ์ของหมูตัวผู้นั้น เป็นผลจากการมีประสบการณ์ก่อนเป็นหนุ่มเป็นสาวไม่เพียงพอ พ่อหมูสามารถเรียนรู้ในเรื่องเหล่านี้ได้ดีที่สุด ในช่วงอายุระหว่าง ๔-๘ เดือน

เมื่อหมูเริ่มผสมพันธุ์ได้ ควรแยกออกมาเลี้ยงขังเดี่ยว และจำกัดอาหารไป จนกระทั่งหมูมีน้ำหนัก ๑๑๕ กิโลกรัม ทั้งตัวผู้ และตัวเมีย

๒. การจัดเตรียมรางอาหาร

ควรจัดให้มีเพียงพอกับจำนวนหมู รางอาหารชนิดอัตโนมัติ ช่องอาหารช่องหนึ่งๆ ควรจัดไว้สำหรับหมูไม่เกิน ๓-๔ ตัว มิฉะนั้นจะมีผลต่อการเจริญเติบโตของหมู

๓. การจัดเตรียมน้ำดื่ม


ควรมีน้ำดื่มสะอาดไว้ในที่ที่เหมาะสม ไม่ควรจัดไว้ในที่ที่หมูตัวอื่นกีดขวางได้ง่าย ปกติหมูตัวหนึ่งจะกินน้ำประมาณสองเท่าของน้ำหนักของอาหารที่กินเข้าไป

๔. อุณหภูมิ


อุณหภูมิที่เหมาะจะช่วยให้การเจริญเติบโต และประสิทธิภาพการใช้อาหารของหมูดีขึ้น คือ อุณหภูมิประมาณ ๒๑ องศาเซลเซียส หากอากาศร้อนเกินไป หมูจะกินอาหารน้อยลง และเติบโตช้า

๕. การถ่ายเทอากาศ


อากาศภายในคอก ควรมีการถ่ายเท หรือระบายได้ดี โรงเรือนที่อับ อากาศจะเกิดก๊าซพิษสะสม ซึ่งมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของหมู และก่อให้เกิดสิ่งผิดปกติกับหมูได้ เช่น เกิดมีการกัดหางกันขึ้น เป็นต้น 

จาก : freebird - [15/08/2558 เวลา: 22:48:45] ข่าวนี้ไม่มีไฟล์แนบครับ
 

  ความคิดเห็นที่ 1
ต่อครับ
วัตถุดิบที่ใช้ผสมในอัตราส่วนต่างๆ เพื่อเป็นอาหารของหมู
วัตถุดิบที่ใช้ผสมในอัตราส่วนต่างๆ เพื่อเป็นอาหารของหมู

วิตามินและแร่ธาตุในอาหารสำหรับหมู
วิตามินและแร่ธาตุในอาหารสำหรับหมู
อาหาร

เนื่องจากการเลี้ยงหมูในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงให้ทันสมัย และเป็นการค้ามากขึ้น มีการนำเอาหมูพันธุ์ต่างประเทศเข้ามาเลี้ยง หรือผสมกับหมูพันธุ์พื้นเมืองกันอย่างกว้างขวาง หมูพันธุ์ต่างประเทศนี้มีความต้องการสารอาหารมากกว่าหมูพันธุ์พื้นเมืองของไทย อาหารที่ใช้เลี้ยงจึงต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย จากการที่เคยเลี้ยงด้วยหยวกกล้วย รำ หรือเศษอาหารต่างๆ ก็เปลี่ยนมาใช้อาหารผสมที่มีคุณค่าอาหารมากขึ้น เพื่อให้หมูได้รับสารอาหารเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย หมูจะได้เจริญเติบโตเร็วขึ้น อาหารผสมที่ใช้ ส่วนใหญ่ประกอบด้วย วัตถุดิบอาหารสัตว์ชนิดต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลพลอยได้จากการบริโภคของคน เช่น ปลายข้าว รำละเอียด และกากถั่วเหลือง เป็นต้น นำมาประกอบกันในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน แล้วแต่ขนาดและอายุของหมู เพื่อให้ได้คุณค่าอาหารครบถ้วนทั้ง ๕ หมู่ ดังนี้

๑. น้ำ

เป็นสิ่งจำเป็นต่อคนและสัตว์ทุกชนิด น้ำเป็นตัวช่วยปรับอุณหภูมิภายในร่างกายให้คงที่ ช่วยขับถ่ายของเสียออกนอกร่างกาย และช่วยในขบวนการต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย หมูต้องการน้ำอย่างมาก เพราะหมูมีชั้นไขมันอยู่ติดกับผิวหนัง ทำให้ยากต่อการระบายความร้อน จึง ต้องใช้น้ำเป็นตัวช่วยระบายความร้อน ถ้าหากหมูขาดน้ำเพียงครึ่งวัน จะมีอาการหอบ และถ้าขาดน้ำเป็นเวลานาน หมูอาจช็อกตายได้

๒. คาร์โบไฮเดรต

เป็นแหล่งให้พลังงาน และจะนำไปใช้ในกระบวนการต่างๆ เพื่อการเจริญเติบโตของหมู อาหารประเภทนี้ส่วนใหญ่คือ แป้งและน้ำตาล ผลิตผลที่นิยมใช้เป็นอาหารสัตว์ ได้แก่ ปลายข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง และมันสำปะหลัง เป็นต้น วัตถุดิบเหล่านี้มีราคาถูก เพราะมีระดับโปรตีนต่ำ แต่ใช้ในสูตรอาหารในปริมาณมาก

๓. โปรตีน


เป็นสารอาหารที่มีความสำคัญมาก เพราะร่างกายต้องการโปรตีน เพื่อใช้ในการเจริญเติบโต และการสร้างเนื้อเยื่อต่างๆ เป็นต้น ถ้าสัตว์ขาดสารอาหารนี้แล้ว จะทำให้สัตว์แคระแกร็น โตช้า และสุขภาพอ่อนแอ วัตถุดิบประเภทนี้ ได้แก่ กากถั่วเหลือง กากถั่วลิสง กากงา ปลาป่น ฯลฯ เป็นต้น โดยทั่วไปมีราคาแพงและคุณภาพไม่แน่นอน

๔. ไขมัน


เป็นแหล่งให้พลังงาน และให้กรดไขมันชนิดต่างๆ ซึ่งปกติในวัตถุดิบอาหารสัตว์ ส่วนใหญ่มีไขมันเป็นส่วนประกอบ ในปริมาณที่แตกต่างกันอยู่แล้ว แต่ถ้าอาหารผสมนั้นขาดพลังงานแล้ว จะเสริมด้วยแหล่งไขมัน ซึ่งมีทั้งไขมันจากพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำ หรือไขมันจากสัตว์ เช่น ไขวัว น้ำมันหมู เป็นต้น

๕. วิตามินและแร่ธาตุ

ร่างกายหมูมีความต้องการวิตามิน และแร่ธาตุในปริมาณน้อย แต่มีความจำเป็นต่อร่างกายมาก เพราะกระบวนการต่างๆ ภายในร่างกาย จำเป็นต้องใช้ทั้งวิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ ร่วมด้วย วิตามินที่มีความจำเป็นต่อหมูแบ่งออกเป็น ๒ ชนิดคือ

๕.๑ วิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามินเอ ดี อี และเค
๕.๒ วิตามินที่ละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามินบีต่างๆ

ส่วนแร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อร่างกายได้แก่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม แมกนีเซียม เหล็ก ทองแดง และสังกะสี เป็นต้น

โดยปกติแล้วในวัตถุดิบต่างๆ จะมีวิตามิน และแร่ธาตุอยู่แล้ว แต่อาจไม่เพียงพอ หรืออยู่ในสภาพที่หมูนำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ ดังนั้น จึงนิยมเสริมวิตามิน และแร่ธาตุสำเร็จรูป ไปในอาหารหมูด้วย เพื่อให้หมูเจริญเติบโต และมีสุขภาพแข็งแรง 

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
โรคที่สำคัญของหมู

แม้ว่าการเลี้ยงหมูจะเจริญไปมากก็ตาม แต่ปัจจุบันยังประสบปัญหาเรื่องโรคและพยาธิต่างๆ โดยเฉพาะโรคระบาดที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง เช่น โรคอหิวาต์หมู โรคปากและเท้าเปื่อย ซึ่งยังไม่สามารถกำจัดให้หมดได้ จึงเป็นเหตุให้การเลี้ยงหมูในบ้านเรายังไม่เจริญก้าวหน้าถึงที่สุด ตลาดต่างประเทศยังไม่ยอมรับเนื้อหมูจากประเทศไทย ตลาดหมู จึงจำกัดอยู่ภายในประเทศเท่านั้น โรคระบาดร้ายแรงที่เป็นอันตรายมาก ได้แก่

โรคอหิวาต์หมู

โรคอหิวาต์หมูเป็นโรคระบาดที่ร้ายแรงมาก และเป็นเฉพาะหมูเท่านั้น โรคนี้นำความเสียหายมาสู่เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูเป็นอย่างมาก และเคยระบาดไปทั่วโลก รวมทั้งทวีปเอเชีย
 
สาเหตุของโรค

เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งคือ ทอร์เทอร์ซูอิส (Tortor suis) ติดต่อได้โดยตรงจากการสัมผัส หรือโดยทางอ้อม จากอาหาร น้ำ ที่มีเชื้อปะปน นก แมลง หนู และสุนัข รวมทั้งคน ซึ่งเป็นพาหะอย่างดี จากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งได้โดยง่าย สาเหตุอีกประการ ที่ทำให้โรคนี้ระบาดได้เร็วคือ การเลี้ยงหมู ด้วยเศษอาหาร ที่เก็บรวบรวมจากที่ต่างๆ ซึ่งอาจมีเชื้อโรคปะปนติดมา หากอาหารที่นำมาเลี้ยงนั้น ไม่ได้ต้มให้เชื้อตายเสียก่อนแล้ว หมูจะได้รับเชื้อทันที

อาการ

หมูที่ติดโรคนี้เริ่มแรกจะมีอาการหงอยซึม เบื่ออาหาร มีไข้สูง มีอาการสั่น หลังโก่ง หูและคอตก ขนลุก ไม่ค่อยลืมตา เยื่อตาอักเสบนัยน์ตาแดงจัด มักมีขี้ตาสีขาวสีเหลืองแถวบริเวณหัวตาก่อน แล้วแผ่ไปเต็มลูกนัยน์ตา อาจทำให้ตาปิดข้างเดียว หรือสองข้างก็ได้ ผิวหนังบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่น บริเวณท้อง โคนขา ใบหู มีลักษณะช้ำเป็นผื่นแดงปนม่วงเป็นเม็ดๆ เนื่องจากเลือดออกเป็นจุดๆ ใต้ผิวหนัง เห็นได้ชัดกับหมูที่มีผิวหนังขาว หมูจะอ่อนเพลีย ชอบนอนซุกตามมุมคอก

หมูที่เป็นโรคนี้จะมีอาการท้องผูกในตอนแรก ต่อมาจึงมีอาการอาเจียนเป็นน้ำสีเหลืองๆ เวลาเดินตัวสั่น เพราะไม่มีแรงทรงตัว มีอุจจาระร่วง และไข้ลดลง แต่มีอาการหอบเข้าแทรก จนกระทั่งตาย หมูที่เป็นโรคนี้ ประมาณร้อยละ ๙๐ มักตาย โรคอหิวาต์หมูเป็นได้กับหมูทุกระยะการเจริญเติบโต

การป้องกันและรักษา

ฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ให้กับหมูทุกๆ ตัว ปีละครั้ง สำหรับหมูที่เพิ่งแสดงอาการเป็นโรคนี้ อาจฉีดเซรุ่มรักษาให้หายได้

โรคปากและเท้าเปื่อย

โรคปากและเท้าเปื่อยเป็นโรคระบาดที่ติดต่อได้อย่างรวดเร็วของสัตว์ที่มีกีบคู่ เช่น วัว ควาย แพะ แกะ และหมู โรคนี้ไม่ทำให้สัตว์ถึงตายได้ แต่จะซูบผอมลง เพราะกินอาหารไม่ได้ สัตว์ที่กำลังให้นมจะหยุดให้นมชั่วระยะหนึ่ง และจำนวนน้ำนมจะลดลง

สาเหตุของโรค

เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง มีแบบต่างๆ กัน ในประเทศไทยเป็นแบบเอ โอ และเอเชีย๑ โรคนี้ติดต่อได้ง่ายทางอาหารและน้ำ ที่มีเชื้อโรคนี้ หรือติดต่อทางสัมผัส เมื่อหมูคลุกคลีกับสัตว์ที่เป็นโรค นอกจากนี้แมลงวันก็เป็นพาหะของโรคนี้ด้วย

อาการ

อาการหมูที่ป่วยด้วยโรคนี้จะเริ่มเบื่ออาหาร มีไข้สูง จมูกแห้ง เซื่องซึม ภายในปากอักเสบแดง ต่อมามีเม็ดตุ่มแดงที่เยื่อภายในปาก บนลิ้น ริมฝีปาก เหงือก เพดาน ตามบริเวณซอกกีบ ตุ่มเหล่านี้จะเกิดพุพอง และกลัดหนอง แล้วแตกเฟะ ทำให้หมูกินอาหารและน้ำไม่สะดวก มีน้ำลายไหลอยู่เสมอ เท้าเจ็บ เดินกะเผลก บางตัวต้องเดินด้วยเข่า หรือเดินไม่ได้ บางตัวที่เป็นมากกีบจะเน่า และหลุดออก ทำให้หมูหมดกำลังและตายในที่สุด

การป้องกันและรักษา

ควรฉีดวัคซีนให้ ๖ เดือนต่อครั้ง และประการสำคัญ อย่าเลี้ยงสัตว์ประเภทกีบคู่ใกล้กัน เพราะสามารถติดต่อกันได้ และอย่าให้คนเลี้ยงหมูจากที่อื่น เดินมาในบริเวณเลี้ยงหมู โดยไม่ได้จุ่มเท้าในน้ำยาฆ่าเชื้อเสียก่อน 






  โดย : freebird [ 15/08/2558 เวลา: 22:51:10]

  ความคิดเห็นที่ 2
การปรับปรุงพันธุ์สุกรในปัจจุบัน และทิศทางในอนาคต



  โดย : sak [ 16/08/2558 เวลา: 04:51:25]

  ความคิดเห็นที่ 3

ทิศทางการพัฒนา เพื่อผู้เลี้ยง พ่อค้า เขียง และผู้บริโภค


  โดย : sak [ 16/08/2558 เวลา: 05:55:55]
สมัครเป็นสมาชิก และLogIn เข้าสู่ระบบ...ถึงจะตั้งกระทู้หรือตอบกระทู้ได้ ครับ