แม้ว่าประเทศไทยจะยังไม่มีรายงานโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) แต่ทุกคนคงไม่อยากให้โรคนี้เกิดขึ้นในบ้านเรา จึงได้มีการตื่นตัวและตื่นกลัวกันอย่างมาก เนื่องจากเป็นมหันตภัยร้ายแรงที่สุดที่เกิดในวงการผลิตสุกร เพื่อให้เห็นสถานการณ์การเตรียมการรับมือโรค ASF ของประเทศไทยที่มีข้อได้เปรียบและความพร้อมทั้ง 10 ด้าน ว่า เราจะมีความแข็งแกร่งพอหรือไม่ ที่จะต้านโรคนี้ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ในประเทศเพื่อนบ้านของเรา
1. ข้อได้เปรียบด้านตำแหน่งที่ตั้ง (Location) ประเทศไทยไม่มีพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศจีนและเวียดนามโดยตรง ทำให้การติดโรค ASF ข้ามแนวชายแดนต้องผ่านประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ประเทศพม่าทางด้านทิศเหนือ ประเทศลาวทางอีสาน ประเทศกัมพูชาทางด้านตะวันออก เป็น Buffer zone ทำให้ไทยมีระยะเวลาตั้งรับมือได้นานกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
2. ข้อได้เปรียบด้านสภาพอากาศ (Weather) ประเทศไทยเป็นพื้นที่เขตร้อน อากาศร้อนเกือบตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นสภาพที่ไม่อำนวยต่อการมีชีวิตรอดของเชื้อไวรัส (แต่ก็ต้องระวังช่วงหน้าฝน) และไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อเหมือนกับจีนที่บางเดือนอุณหภูมิหนาวจัดถึงติดลบ การอาบน้ำเข้าฟาร์มและการฆ่าเชื้อรถขนส่งทำได้ลำบาก เนื่องจากมีหิมะและน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง
3. ความพร้อมด้านระบบการผลิตสุกร (Pig production system) ประเทศไทยการเลี้ยงสุกรในระดับอุตสาหกรรมมีระบบการผลิตสุกรที่ได้มาตรฐาน ทั้งการจัดการฟาร์ม แบบโรงเรือน สายพันธุ์สุกรที่ส่วนใหญ่ผลิตในประเทศ ที่พร้อมจะพัฒนาให้ทันต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากโรคระบาดในอนาคต
4. ความพร้อมด้านข้อมูลและการสื่อสาร (Information and Communication) ตั้งแต่ประเทศจีนเกิดโรค ประเทศไทยมีความตื่นตัวต่อการป้องกันโรคมากที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ มีสื่อต่างๆ ทั้งกรมปศุสัตว์ สมาคมฯ มหาวิทยาลัย และเอกชน ให้เลือกติดตามกันได้อย่างหลากหลาย และส่วนใหญ่มีแนวทางที่คล้ายๆ กัน สามารถเข้าถึงได้หลายช่องทาง เช่น สื่อทางอินเตอร์เน็ต โซเชียล โปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ตามสนามบิน สำนักงาน ฟาร์ม การจัดงานสัมมนาให้ความรู้เรื่อง ASF การอบรมพนักงานฟาร์ม โรงฆ่าสัตว์และเกษตรกร ทุกบริษัทและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการจัดอบรมอย่างต่อเนื่อง
5. ความพร้อมด้านนักวิชาการและสัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มสุกร (Veterinary science &Service)ประเทศไทยมีมหาวิทยาลัย คณะอาจารย์ และสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์ม ทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวนเพียงพอต่อความต้องการ ทำให้การเตรียมความพร้อมระดับฟาร์มไม่น่าจะมีปัญหา
6. ความพร้อมด้านห้องปฏิบัติการ (Laboratory service) ประเทศไทยมีห้องปฏิบัติการตรวจโรคครบทุกภูมิภาค ทั้งภาครัฐ มหาวิทยาลัย และบริษัทเอกชน จึงไม่น่ามีปัญหาต่อการทดสอบเชื้อเพื่อวางแผนจัดการ
7. ความพร้อมด้านนโยบายภาครัฐ (Government policy) นโยบายของภาครัฐออกประกาศครอบคลุมทั้งรายเล็กและรายใหญ่ เช่น การอนุมัติงบประมาณ 148 ล้านบาท ในการควบคุมโรค ASF จากคณะรัฐมนตรี การประกาศห้ามนำเข้าเนื้อสัตว์จากประเทศที่เกิดโรคระบาดจากกรมปศุสัตว์ เป็นต้น
8. ความพร้อมด้านการผลิตเนื้อสุกรในประเทศ (Pork production) ประเทศไทยผลิตสุกรได้เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ (อาจจะเกินในบางเขต) ทำให้สามารถตอบสนองนโยบายด้านการงดนำเข้าส่งออกเนื้อสุกรไปยังประเทศที่มีการระบาดทำได้ดี ซึ่งเป็นจุดเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในการป้องกันโรค ASF เข้าประเทศ (ถ้าประเทศไทยไม่เกิดโรค จุดเสี่ยงสำคัญจะเป็นในด้านการส่งออก) รวมถึงโรงชำแหละทางกรมปศุสัตว์ก็ได้ออกมาตรการเฝ้าระวังและควบคุมโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรที่พร้อมจะนำไปปฏิบัติให้ได้มาตรฐาน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคกรณีที่ประเทศไทยเกิดโรคระบาด
9. ความพร้อมด้านการป้องกันโรคเข้าประเทศ (International Bio security) ประเทศไทยมีการรวมกลุ่มจัดสร้างและจัดสรรงบประมาณในการป้องกันโรคเข้าประเทศ เช่น จุดล้างรถ พ่นยาฆ่าเชื้อรถ และจุดตรวจสัมภาระ ตามด่านชายแดนต่างๆ และสนามบิน ซึ่งตอนนี้ก็ได้ดำเนินการแล้วเสร็จไปแล้วบางส่วน แต่เชื่อว่าน่าจะสมบูรณ์ 100% ในเร็วๆนี้ และสิ่งที่จะต้องเตรียมแผนต่อไปคือการบริหารจัดการให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอด 24 ชั่วโมง
10. ความพร้อมด้านการป้องกันโรคระดับฟาร์ม (Pig farm biosecurity) ฟาร์มขนาดใหญ่ระดับบริษัทมีมาตรฐานระบบป้องกันโรคที่ดี และก็เพิ่มระดับความเข้มข้นขึ้นมากกว่าเดิม 2-3 เท่าในปัจจุบัน จึงไม่น่ามีปัญหาสำหรับการป้องกันโรค ASF ส่วนฟาร์มขนาดเล็กก็คงต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด เช่น งดใช้เศษอาหารนำมาเลี้ยงสุกรช่วงที่มีการระบาดของโรค เป็นต้น และในอนาคตเชื่อว่า ราคาเนื้อสุกรจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกษตรกรมีความพร้อมในการลงทุนด้านระบบป้องกันโรคมากขึ้น โอกาสที่ไทยจะรอดพ้นจากโรค ASF ก็ยิ่งจะมีมากขึ้นตามไปด้วย
จากข้อได้เปรียบและความพร้อมทั้งหมดนี้ ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าประเทศไทยจะยื้อเวลาการเกิดโรค ASF ได้นานกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค “ปีหมูจะไม่เป็นหมูเน่าสำหรับเกษตรกรไทย ถ้าทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน”
ขอบคุณที่มา : Adisak.s / CPF Swine Veterinary Service